รวมวิธีตีตลาดนักท่องเที่ยวจีนช่วง COVID-19 ในวันที่ประเทศไทยไร้นักท่องเที่ยวจีน
กำลังเข้าสู่ช่วงกลางปี 2021 แล้ว แต่สถานการณ์โควิดยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ถึงแม้บางประเทศจะมีการฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่บางประเทศก็ต้องเจอผลค้างเคียงทำให้ต้องระงับไปเป็นการชั่วคราว หลายประเทศรวมถึงจีนเองก็ยังคงมีมาตรการคุมเข้มการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มข้น โดยภาพรวมยังคงดูเป็นช่วงเวลาที่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ และในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยที่ยังคงไร้นักท่องเที่ยวจีน ทำให้ยอดขายจาก ตลาดนักท่องเที่ยวจีน ขาดหายไป ดังนั้นหลายธุรกิจจึงไม่สามารถใช้กลยุทธ์ตั้งรับกับเหตุการณ์นี้ต่อไปได้ และต้องหาวิธีในการบุกตลาดจีนแบบถึงถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นภายใต้การระบาดที่ยังไม่มีจุดจบ
โอกาสของ Digital Marketing จีน กับเทรนด์การใช้อินเทอร์เน็ต
ในปี 2020 ที่ผ่านมา ภาพรวมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและ Social Network จีนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่เกิดจากโรคระบาด อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเป้าหมายชาวจีน หรือ ตลาดนักท่องเที่ยวจีน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากจำนวนประชากรจีนทั้งหมด 1.44 พันล้านคน ที่มีจำนวนคนเมือง (Urban) สูงถึง 61.9% หรือประมาณ 891 ล้านคน มีการเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.61 พันล้านเครื่อง และมีบัญชีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 940 ล้านบัญชี มีจำนวนบัญชี Social Media มากกว่า 931 ล้านบัญชี ด้วยสถิติเหล่านี้จึงกลายเป็นตลาดที่มีความยิ่งใหญ่ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เป็นกำลังซื้อจำนวนมหาศาลที่ใครๆ ต่างก็อยากได้ส่วนแบ่ง
บุกตลาดจีนช่วง COVID-19 ด้วย E-commerce
หากหน้าร้านของคุณไม่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาอุดหนุนกันคับคั่งเหมือนช่วงก่อน COVID-19 และไม่สามารถทราบได้เลยว่า อีกนานแค่ไหนที่หน้าร้านจะกลับมาคึกคักแบบนั้นได้อีกครั้ง การมีพื้นที่เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายอย่างกลุ่ม ตลาดนักท่องเที่ยวจีน สามารถเข้าถึงได้สะดวกจากประเทศของพวกเขา ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าให้มากขึ้นได้
การมาของ COVID-19 ปลุกกระแสการขายของออนไลน์ทั่วโลก รวมถึงจีนด้วยเช่นกัน เห็นได้จากสถิติที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce หลายเจ้าในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น T-mall JD.com Taobao Pinduoduo Sunning และ VIP ที่สำคัญคือแพลตฟอร์มเหล่านี้ ก็อนุญาตให้แบรนด์และธุรกิจต่างชาติ สามารถเข้าไปทำการเปิดร้านขายสินค้าให้แก่กลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนได้ด้วยเช่นกัน หรือที่เรียกว่า การซื้อขายข้ามพรมแดน (Cross-border e-commerce) ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนที่ไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวและแวะซื้อสินค้าที่หน้าร้านของคุณ สามารถเห็นสินค้าและเข้าถึงร้านค้าของคุณได้ผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce โดยที่คุณไม่ต้องวุ่นวายไปลงทุนเปิดหน้าร้านที่ประเทศจีน
ในแต่ละแพลตฟอร์ม E-commerce ก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของแบรนด์และธุรกิจ เช่น Tmall เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะผู้ที่จะสามารถไปเปิดร้านบน Tmall ได้นั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่จุดแข็งนี้ก็กลับกลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับแบรนด์เล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน เพราะ Tmall จะเป็นผู้คัดเลือกร้านค้าว่ามีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ มีชื่อเสียงมากพอจะได้ขายสินค้าบน Tmall หรือไม่
แม้กระทั่งแพลตฟอร์มที่ฮิตที่สุดสำหรับชาวจีนอย่าง Taobao ที่มีข้อดีคือ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ หรือคนทั่วไปก็สามารถเปิดร้านบน Taobao ได้ แต่ข้อเสียใหญ่คือต้องมีบัญชีธนาคารในจีนเท่านั้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสินค้าเลียนแบบจำนวนมาก ที่อาจทำให้สินค้าของคุณต้องปะปนไปกับสินค้าที่ด้อยคุณภาพ เป็นต้น
จากการสำรวจพบว่า แพลตฟอร์มที่แบรนด์และธุรกิจจากต่างชาติมากกว่า 80% นิยมใช้ในการเจาะตลาดจีนคือ Tmall โดยเฉพาะแบรนด์ Luxury
Social Commerce หน้าร้านออนไลน์ที่ใกล้ชิดผู้บริโภคได้มากกว่า
สำหรับแพลตฟอร์ม E-commerce บางเจ้าอาจมีช่องแชทไว้ให้แบรนด์หรือร้านค้า ไว้ส่งข้อความคุยกับผู้บริโภคได้โดยตรง แต่มีข้อจำกัดในการจัดการหน้าร้าน ที่ต้องทำตามเทมเพลตตามที่แพลตฟอร์มกำหนดไว้ให้ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่สามารถให้คุณได้ทั้งในเรื่องของความใกล้ชิดกับลูกค้า การตอบสนองแบบทันท่วงที การบริการดูแลที่ทั่วถึง รวมถึงการกำหนดรูปแบบหน้าร้านค้าได้เอง สิ่งนั้นก็คือ Social Commerce และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มาแรงที่สุดในจีนคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก WeChat แอปพลิเคชันส่งข้อความที่สามารถทำได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นนอน สั่งอาหาร เรียกรถ ตลอดจนหาคู่ และอื่นๆ
WeChat ยังมีฟังก์ชันอย่าง WeChat Official Account เช่นเดียวกันกับ Line Official Account ที่คนไทยใช้ไว้คอยสื่อสารกับลูกค้า และ WeChat Mini Program ที่ ‘คล้าย’ กับ Line Shopping ให้ลูกค้าได้ซื้อของจากแบรนด์ได้โดยตรงผ่าน LINE เพียงแต่ WeChat Mini Program นั้นไม่ใช่เทมเพลตร้านค้า แต่เป็นฟังก์ชันที่ให้ธุรกิจสามารถมาพัฒนาแอปพลิเคชันไว้บน WeChat เหมือนแอปพลิเคชันของแบรนด์ฝังตัวอยู่ใน WeChat ที่สามารถทำทุกอย่างตั้งแต่ การพูดคุยโน้มน้าวใจลูกค้า คุยกับลูกค้าผ่านแชท แนะนำสินค้า ถามคำถาม บริการหลังการขาย จ่ายเงินซื้อสินค้า อีกทั้งคนจีนแทบทุกคนล้วนใช้ WeChat ในการส่งข้อความในชีวิตประจำวัน ไม่ต่างจากที่คนไทยส่งข้อความผ่าน LINE จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำ Digital Marketing จีน
ขายสินค้าบุกตลาดนักท่องเที่ยวจีนผ่านทุกแพลตฟอร์มด้วย KOL และ KOC
หลายคนคงคุ้นหูกับ KOL หรือ Key Opinion Leaders ที่เป็นผู้นำทางความคิดสามารถชักจูง โน้มน้าวใจคนอื่นได้ หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ Influencer แต่ถ้าไม่ใช่นักการตลาดบางคนอาจจะงงว่า KOC คืออะไร KOC คือ Key Opinion Customer คือ ลูกค้าของแบรนด์ที่ใช้สินค้าของแบรนด์นั้นจริงๆ และมีแวดวงและกลุ่มสังคมของตัวเอง ซึ่งทั้ง KOL และ KOC ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้อื่น และแบรนด์เองก็มีโอกาสที่จะได้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายใหม่ ผ่าน KOL และ KOC ได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับกลุ่ม KOL และ KOC นั้นสามารถช่วยในการขายสินค้าของแบรนด์ได้ผ่านการ Live Streaming ในรูปแบบของการขายสินค้าแบบสดๆ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีฟังก์ชันการ Live Streaming หรือแพลตฟอร์มของพวกเขาเอง รวมถึงการโปรโมทสินค้าก็สามารถทำได้ผ่านการ Live Streaming หรือการสร้างคอนเทนต์รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ข้อความ วิดีโอ หรือวิดีโอสั้น ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Weibo, Wechat, Bilibili, Douyin, Xiao Hong Shu RED, และ Baidu ที่อาจกลายเป็น Reference หรือ Review สำหรับลูกค้าที่ต้องการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในกลุ่มเป้าหมายชาวจีนปัจจุบัน ซึ่งอาจตามมาด้วยการปิดการขายได้โดยอัตโนมัติ
เขตนำร่อง Cross-border e-commerce จีน สินค้าถึงมือลูกค้าได้เร็วกว่าเดิม
เมื่อรู้ช่องทางในการขายสินค้าไปจีนแล้ว สิ่งต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคในประเทศจีน ผ่านการขนส่งทั้งอากาศ น้ำ และทางบก เช่น
เครื่องบิน มีผู้ให้บริการขนส่งสินค้าไปจีนผ่านเครื่องบินได้แก่ DHL และ SF Express การขนส่งทางอากาศเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่มีราคาสูงที่สุดด้วยเช่นกัน เหมาะกับสินค้าประเภท Luxury ที่ให้ความสำคัญด้านการบริการที่รวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 3-5 วันเท่านั้น
รถยนต์ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณขนส่งสินค้าได้ในจำนวนน้อยชิ้นตลอดจนหนึ่งตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะคิดราคาตามน้ำหนักของสินค้า แม้คุณส่งสินค้าเพียงชิ้นเดียวก็สามารถติดไปกับตู้คอนเทนเนอร์ของคนอื่นได้ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิด แต่ข้อเสียคือใช้เวลานานถึง 7-15 วันเป็นอย่างต่ำ โดยมีผู้ให้บริการด้านการขนส่งทางรถได้แก่ Yunda, Bangkok Orient หรือ BeStar เป็นต้น
เรือ เป็นวิธียอดฮิตที่หลายแบรนด์ทั่วโลกนิยม เพราะต้นทุนต่ำที่สุด แต่ใช้เวลานานที่สุดด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าได้ทีละมากๆ แต่จะใช้เวลาประมาณ 10-15 วัน จึงเหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าจำนวนมาก เพื่อนำไปสต็อกเตรียมส่งที่จีน เมื่อมีออร์เดอร์เข้ามาก็สามารถส่งสินค้าจากโกดังสินค้าได้ทันที ซึ่งก็มีผู้ให้บริการมากมายหลายเจ้า
ทั้งนี้ทางรัฐบาลจีนเล็งเห็นถึงความต้องการจำนวนมากของธุรกิจต่างประเทศ ที่ต้องการทำการค้าผ่าน Cross-border e-commerce จึงมีการสนับสนุนโดยการกำหนดเขตนำร่องกว่า 105 เขต ทั่วประเทศจีนในการสร้างโกดังเพื่อรองรับสินค้าจากต่างประเทศ สำหรับรอส่งต่อให้ถึงมือลูกค้าในประเทศจีน แม้กระทั่ง Tmall เอง ก็มีโกดังของ Alibaba ในการให้สินค้าจากต่างประเทศมาสต็อกรอไว้และจะคิดค่าส่งสินค้าเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา และมีค่าเก็บสินค้าโดยคิดจาก จำนวนวัน x ค่าเช่าต่อวัน x สินค้าในโกดัง รวมถึง ภาษี 11.9% จากการขาย ทำให้การซื้อขายสินค้าไปจีนสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับช่องทางการบุกตลาดจีนในช่วง COVID-19 เพราะในด้านของกระบวนการแล้วยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการขออนุมัติเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การติดต่อบริษัทขนส่งสินค้า หรือแม้แต่เรื่องของภาษี
เราคือ V-Click Technology คือบริษัทด้านการตลาดจากประเทศจีน ที่คอยทำหน้าที่เชื่อมแบรนด์และธุรกิจต่างประเทศให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนมานานนับทศวรรษ ด้วยบริการด้านการตลาดออนไลน์จีนแบบครบวงจรที่พร้อมจะดูแลทุกอย่างให้คุณตั้งแต่ต้นจนจบ อีกทั้งเรายังมีเทคโนโลยีด้านการตลาดที่สามารถอำนวยความสะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้านการตลาดอีกมากมาย หากสนใจสามารถส่งข้อมูลของคุณ คำถามข้อสงสัย หรือติดต่อเราเข้ามาได้ที่ Sales@v-click.co.th